เผยโฉมยาต้านไวรัสรักษา COVID-19
ยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการักษาโรคโควิด-19 หรือ Coronavirus disease 2019 (COVID-19) ที่กองควบคุมโรค ได้จัดหาและสำรองไว้ขณะนี้ คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) หรือที่รู้จักกันในชื่อ T-705 หรือ Favilavir ยาดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบริษัทฟูจิฟิลม์ โตยามะ เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่น ในชื่อการค้า AVIGAN ได้ขึ้นทะเบียนไว้สำหรับการักษาโรคไข้หวัดใหญ่ และสำนักงานบริหารผลิตภัณฑ์ทางการแทพย์ ได้ให้การรับรองว่ายาดังกล่าวเป็นยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพต่อต้านโรค COVID-19 ได้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา
ยา Favilavir จะมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้ก็ต่อเมื่อรับประทานยาเข้าสู่ร่างกายและยาไปถูกเปลี่ยนแปลงในเซลล์ เป็นสาร Favilavir Ribosyl Triphosphate (Favilavir RTP) ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะเจาะจงต่อเอนไซม์ RNA-dependent RNA polymerase มีผลป้องกันการเพิ่มจำนวน RNA ของไวรัส แต่ Favilavir ไม่มีผลยับยั้งการสังเคราะห์ RNA หรือ DNA ของเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
อาการอันไม่พึงประสงค์ที่พบจากการศึกษาทางคลินิกเมื่อรับประทานยานี้ เช่น ระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิลลดลง ค่าการทำงานของตับ AST และ ALT เพิ่มขึ้น และบางรายจะมีอาการท้องเสีย นอกจากนี้ยังพบการตายของตัวอ่อนและการพัฒนาของตัวอ่อนถูกรบกวนในสัตว์ทดลองที่ได้รับยา จึงมีข้อห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และแนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ในช่วงระหว่างได้รับยาจนถึง 7 วันภายหลังรับยา สำหรับคำแนะนำในผู้ชายที่ได้รับยานี้ ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในช่วงระหว่างได้รับยาจนถึง 7 วันภายหลังรับยาเช่นกัน เนื่องจากพบว่ายามีผลต่ออสุจิในสัตว์ทดลองด้วย
ข้อควรทราบ เกี่ยวกับยา Favilavir อีกประการ คือ ยาไม่ถูกทำลายในร่างกาย โดยเอนไซม์ Cytochrome P-450 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ร่างกายใช้ทำลายยาส่วนใหญ่ให้หมดฤทธิ์ ดังนั้นยา Favilavir จึงไม่มีอันตรกิริยากับยากลุ่มนี้ การทำลายยา Favilavir จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเอนไซม์ Aldehyde Oxidase (AO) และบางส่วนถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเอนไซม์ Xanthine Oxidase (XO) ให้เปลี่ยนเป็น Hydroxylated Form และถูกขับออกทางปัสสาวะ ดังนั้นตัวยาที่ควรระวังเมื่อใช้ร่วมกันคือตัวยาดังต่อไปนี้ Pyrazinamide Repaglinide Theophylline Famciclovir และ Sulindac